ค้นหาบล็อกนี้

หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2555

มิวราดคิดค้นหลักการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม

Pic_300259

ดร.โฮเวิร์ด มิวราด
     ผิวพรรณที่ดูแห้งเหี่ยว คือสัญญาณบ่งบอกถึงความแก่เกินวัย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วเราสามารถทำให้ดูอ่อนเยาว์ได้อย่างง่ายดาย! โดย ดร.โฮเวิร์ด มิวราด ผู้ก่อตั้งแบรนด์เวชสำอางยอดขายอันดับ 1 ในประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็น “บิดาแห่งการดูแลผิวจากภายใน” ได้คิดค้นหลักการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมอย่างง่ายๆ 3 ประการ

     เริ่มจาก การดูแลผิวจากภายนอก การใช้สกินแคร์ที่เหมาะสม และการทำทรีตเมนต์ผิวสม่ำเสมอ เพราะผิวเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของร่างกาย และเป็นปราการด่านแรกที่ปกป้องร่างกายจากสิ่งเร้าภายนอก จากนั้นก็ดูแลผิวจากภายใน ด้วยการรับประทานผักผลไม้ อาหารที่มีคุณค่า พร้อมเสริมวิตามินจำเป็น เพื่อเติมน้ำและแร่ธาตุสำคัญกลับสู่เซลล์ พร้อมเสริมความแข็งแกร่งให้แก่เซลล์ วิตามินเสริมที่ ดร.มิวราดหมายถึง ที่คนกลัวแก่ขาดไม่ได้มีอยู่ 4 ตัวหลัก ได้แก่ วิตามินรวม, โอเมก้า 3, เลซิติน, กลูโคซามิน และยังแนะให้เสริมอีก 3 วิตามินรอง ได้แก่ วิตามิน B  คอมเพล็กซ์, แคลเซียม และสารแอนตีออกซิแดนต์ 

     ที่สำคัญคือต้อง ดูแลจิตใจและอารมณ์ 
จัดการกับความเครียด ด้วยการคิดบวก 

พบปะเพื่อนฝูง 
ออกกำลังกาย 
หางาน อดิเรกที่ชอบ 
นั่งสมาธิ 
นอนหลับให้เพียงพอ หรือ
หาวิธีผ่อนคลายจิตใจด้วยรูปแบบส่วนตัวของแต่ละคน 
   หากทำได้ครบถ้วนทั้ง 3 ประการ สุขภาพผิวจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดจะดูอ่อนกว่าวัยจนคนต้องทัก ตามคอนเซปต์ใหม่ของมิวราดที่บอกว่า  Murad  Better  Everyday!!!

โดย ทีมข่าวหน้าสตรี     


นวัตกรรม เปลี่ยนขาใหญ่ ให้เรียวกระชับ


Pic_301210
     ขาโต๊ะสนุ้ก ขาใหญ่ๆ ไม่มีสาวคนไหนอยากให้เป็น ยิ่งไม่กระชับ ไม่เรียบแบบผิวเปลือกส้มด้วยแล้ว ยิ่งเป็นปัญหาหนักอก หากคุณเป็นคนหนึ่ง ที่เป็นเจ้าของขาใหญ่ ตามไปดูเทคโนโลยีที่ช่วยให้ขาเรียวกระชับ แถมยังลดเซลลูไลท์ทำให้ผิวเรียบตึงอีกด้วย

     นวัตกรรมนี้ มีชื่อว่า Vela2 เป็นการผสานเทคโนโลยี ทั้ง 4 ที่ช่วยกระชับผิว คือ พลังงานคลื่นวิทยุความถี่สูง (High Radio Frequency), พลังงานแสงอินฟราเรด (Infrared) ร่วมกับการทำงานของเครื่องนวดแบบลูกกลิ้ง และการนวดด้วยระบบสุญญากาศ ทำให้ประสิทธิภาพในการสลายเซลลูไลท์ดียิ่งขึ้น สามารถเห็นผลแตกต่างทันทีตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ยกกระชับผิวที่เผละไม่เรียบเนียนได้เสมือนการทำเทอร์มาจ ทั้งนี้ก็เพราะประสิทธิภาพของพลังงาน RF ความถี่สูงใน Vela2 สามารถส่งผ่านพลังงานสู่ผิวในระดับลึก ทำให้คอลลาเจน และอีลาสติน เกิดการหดตัว และยึดเกาะกันได้ดียิ่งขึ้น เมื่อทำงานร่วมกับจังหวะการนวดของลูกกลิ้ง พร้อมการดูดปล่อยแบบสูญญากาศ ยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพการกระชับผิว และช่วยสลายการยึดเกาะของพังผืดเซลล์ลูไลท์ใต้ชั้นผิวได้เป็นอย่างดี

     นอก จากนี้ พลังงานจากแสงอินฟราเรด จะช่วยยกกระชับคอลลาเจน และอีลาสตินในผิวชั้นบนๆ พร้อมทั้งช่วยให้ระบบการไหลเวียนโลหิตในชั้นผิวดียิ่งขึ้น ทำให้เซลล์ไขมันแตกตัวเป็นโมเลกุลเล็ก ซึ่งง่ายต่อการย่อยสลาย ผนวกกับการทำงานของระบบลูกกลิ้งปรับปรุงใหม่ ยิ่งช่วยกระจายพลังงานได้ดียิ่งขึ้น ผลลัพธ์ที่เห็นได้ คือ ผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอ และตึงกระชับมากขึ้น เมื่อผสมผสานเทคโนโลยีทั้ง 4 เข้าด้วยกัน จึงทำให้ Vela2 มีประสิทธิภาพเหนือกว่าเครื่องมือสลายเซลลูไลท์ชนิดอื่น ซึ่งใช้เพียงเทคโนโลยีเดียว สามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ ใช้จำนวนครั้งที่ทำน้อยกว่า ได้ผลลัพธ์ยืนยาวกว่า
     รายงาน ผลการศึกษาในสหรัฐอเมริกา พบว่า Vela2 สามารถลดขนาดต้นขาได้มากกว่า 2 ซม. โดยผู้เข้ารับการรักษาไม่รู้สึกเจ็บ ระหว่างทำ และหลังทำ เรียกว่ากำจัดเซลลูไลท์พร้อมกระชับผิวได้แบบชิลล์ๆ อีกทั้งยังผ่านการรับรองจาก U.S.FDA จึงการันตีความปลอดภัย และผลการรักษาได้ ไม่น่าแปลกใจที่ Vela2 ประสบความสำเร็จอย่างมากในต่างประเทศ ขนาดที่หลายๆ เมืองในสหรัฐอเมริกา ต่างรอคอยการมาถึงของเครื่องมือนี้กันเลยทีเดียว

ข้อมูล/ภาพ www.Apexprofoundbeauty.com


สูตรลับ โยคะหน้าใส...ไม่แอ๊บแบ๊ว!!


Pic_304907
ท่าสิงโต

ก็เพราะผู้หญิงหยุดสวยไม่ได้ เราจึงเห็นผู้หญิงสมัยนี้เห่อจิ้มโบท็อกซ์กันจนเป็นแฟชั่น ทั้งๆที่รอยตีนกายังไม่ทันถามหาด้วยซ้ำ!! เก็บเข็มโบท็อกซ์เอาไว้ใช้ยามจำเป็นเถอะค่ะสาวๆ แล้วลองมาเนรมิตผิวสวยใสแบบธรรมชาติๆด้วยสูตรลับการทำโยคะหน้าใส ตามแบบฉบับของ “ครูจิ๊บ-วลัยพัชร อักษรดี”

ในงานเวิร์กช็อปมากสาระ “โยคะหน้ากับเครื่องสำอาง @ skinexercise” จัดโดย “อรนุช และชาญ ว่องปรีชา” ได้มีการสาธิตเทคนิคการทำโยคะหน้าใสแบบง่ายๆ โดยไม่ต้องเสียสตางค์ เริ่มจากท่าแรกคือ “ท่าหายใจคลื่นทะเล” เพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันตามทางเดินของลมหายใจ จากนั้นจึงต่อด้วย “ท่าลมหายใจหน้าใส” ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนและถ่ายเทอาหารผิวจากชั้นใน ส่วนบริเวณรอบดวงตาต้องกระชับไม่ให้เหี่ยวย่นด้วย “ท่าอาหมวย” โดยใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางดึงหางตาให้เฉียง ขึ้นแบบอาหมวย จากนั้นก็หรี่ตาลงเล็กน้อย เพื่อกระชับบริเวณกล้ามเนื้อรอบดวงตา หลังจากออกกำลังกายรอบดวงตาไปแล้ว ก็ถึงคิวของการทำโยคะหน้าด้วย “ท่าเต่า” ช่วยกระชับกล้ามเนื้อรอบคางและคอ เริ่มด้วยการเอามือสองข้างจับคอ หายใจเข้าลึกๆ พอหายใจออกค่อยๆยืดคางมาด้านหน้า และยืดฟันล่างออกมา จะรู้สึกได้ว่ากล้ามเนื้อตึงขึ้นทันตาเห็น ตามมาด้วยการทำแก้มป่อง “ท่าปลาทอง” ช่วยกระชับร่องแก้ม และ “ท่าสิงโต” ช่วยยืดกล้ามเนื้อทุกส่วนให้รู้สึกผ่อนคลาย ตั้งแต่ใบหน้า, ลำคอ ไปจนถึงแขน ปิดท้ายด้วยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อกับ “ท่าพระพุทธรูป” โดยหายใจเข้าลึกๆ มองด้านหน้าเปิดตากว้างๆ แล้วหายใจออกหลับตา ดันเปลือกตาปิดแน่นๆ แต่ยังให้ใบหน้าผ่อนคลาย เคล็ดลับสำคัญคือ ยิ่งทำบ่อยยิ่งเห็นผลเร็ว อย่างน้อยควรทำวันละ 10 ครั้ง ทั้งเช้าและเย็น ทำต่อเนื่องสองอาทิตย์ รับรองว่าหนุ่มๆต้องเหลียวหลัง.

ท่าลมหายใจหน้าใส
ท่าลมหายใจหน้าใส

ท่าอาหมวย
ท่าอาหมวย

ท่าปลาทอง
ท่าปลาทอง

วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เวลา เวลา เป็นยาวิเศษ


"การไหลเวียนของพลังชีวิต (ลมปราณ) ที่ผ่านแต่ละอวัยวะ 
และในแต่ละอวัยวะจะใช้เวลา 2 ชั่วโมง ทั้งหมดมี 12 อวัยวะ 
รวม 24 ชั่วโมง คือ 1 วัน เราเรียกว่า "นาฬิกาชีวิต"

นาฬิกาชีวิต

ผู้คนแออัด รถติด ของแพง งานเยอะ ทุกอย่างกลายเป็นเพื่อนสนิทเราไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ สิ่งต่างๆ รอบตัวกำลังพาเราเข้าไปสู่วังวนของความเครียด ความเครียดนอกจากจะทำให้เราแก่ก่อนวัยแล้ว ยังทำให้สุขภาพจิตและสุขภาพร่างกายของเราแย่ลงอีกด้วย นอกจากนั้นก็อาจจะมีโรคนอนไม่หลับ ไมเกรน ความดันโลหิตสูงอาจเข้ามาทำความรู้จักกับเราก็เป็นได้ แต่ก่อนที่อะไรจะร้ายแรงไปมากกว่านี้เรามาจัดสรรเวลาให้ร่างกายเราใหม่กันดีกว่า ถ้ามันจะดีมันต้องดีมาจากข้างใน คุณว่าจริงหรือเปล่า?

ใช้เวลาให้เป็นเหมือนยารักษาโรค
ในเมื่อหลายสิ่งกำลังเข้ามาทำร้ายเรา เราต้องทำร่างกายของเราให้แข็งแรงพร้อมรับทุกสถานการณ์ สิ่งที่บอกได้ว่าเราแข็งแรงหรือเปล่าก็คือตัวเราเองนี่แหละ เพราะความเครียดส่งผลถึงการทำงานของอวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเรา อวัยวะทุกส่วนในร่างกายของเราก็ทำหน้าที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละช่วงเวลา การดูแลรักษาอวัยวะต่างๆ ก็มีวิธีการและช่วงเวลาของมัน เรามาดูกันว่าช่วงเวลาไหนทำอะไรจึงจะส่งผลดีกับตัวเรา

นาฬิกาชีวิต

05.00-07.00 น. เราควรตื่นมาขับถ่ายให้เป็นนิสัย เพราะลำไส้ใหญ่จะเริ่มทำงานในช่วงเวลานี้
07.00-09.00 น. มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญ ถ้าเราอยากให้กระเพาะเราแข็งแรงเราต้องทานข้าวเช้ากันนะ ไม่อย่างนั้นร่างกายเราจะปล่อยน้ำย่อยมาบดขยี้กระเพาะเราพังแน่ๆ

09.00-11.00 น. อย่าหลับ หรือกินอะไรจุกจิกเวลานี้เป็นอันขาด เพราะม้ามกำลังทำงาน ถ้าเรากินอะไรจุกจิกหรือพูดบ่อยม้ามของเราจะชื้นจะทำให้ม้ามของเราอ่อนแอ
11.00-13.00 น. อย่างที่บอกว่าความเครียดส่งผลเสียกับร่างกายในทุกๆ ด้าน ยิ่งถ้าช่วงเวลานี้ด้วยแล้วยิ่งไม่ควรเครียดเป็นอย่างยิ่ง เพราะหัวใจเราจะทำงานหนักกว่าปกติ
13.00-15.00 น. ใครที่ชอบกินขนมจุกจิกช่วงเวลานี้อาจจะต้องเก็บขนมเหล่านั้นให้ไกลจากระยะสายตาสักหน่อยโดยเฉพาะสาวๆ เพราะลำไส้เล็กกำลังทำงานอยู่ ลำไส้เล็กทำหน้าที่ดูดซึมสารอาหารที่เป็นน้ำทุกชนิดเพื่อสร้างกรดอะมิโน สร้างเซลล์สมอง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ และสร้างไข่สำหรับผู้หญิง
15.00-17.00 น. เป็นช่วงเวลาที่เราควรออกกำลังกาย หรือทำกิจกรรมให้เหงื่อออก เพราะจะทำให้กระเพาะปัสสาวะแข็งแรง
17.00-19.00 น. ใครที่เคยนอนในช่วงนี้ต้องต่อสู้กับความง่วง เพราะช่วงเวลานี้ไตเรากำลังทำงาน เราควรทำตัวให้สดชื่นกระปรี้กระเปร่า อาจจะหาอะไรทำเป็นกิจกรรมแก้ง่วง ใครที่ง่วงนอนเวลานี้เป็นประจำคุณอาจกำลังเข้าสู่ภาวะไตเสื่อม
19.00-21.00 น. ช่วงนี้ควรงดกิจกรรมใดๆ ที่ทำให้เราตื่นเต้น ดีใจ หัวเราะมากๆ เพราะการกระทำดังกล่าวส่งผลถึงเยื่อหุ้มหัวใจ เราควรหันมาสวดมนต์ ทำสมาธิ เป็นการทำจิตใจให้สงบจะดีกว่า (นั่นแน่คิดอะไรกันอยู่!)
21.00-23.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่น ห้ามอาบน้ำเย็นในช่วงเวลานี้ เพราะจะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย

23.00-01.00 น. อย่าใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าใยสังเคราะห์ ไนล่อน ชุดนอนที่ทำจากใยสังเคราะห์จะไปดูดน้ำในร่างกายเพราะเวลานี้เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี อวัยวะใดในร่างกายเมื่อขาดน้ำ จะมาดึงน้ำจากถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีข้น เป็นผลให้อารมณ์ฉุนเฉียว สายตาเสื่อม เหงือกจะบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก เราควรสวมชุดผ้าฝ้ายดีที่สุด และไม่ควรนอนบนที่นอนสูงๆ เพราะจะทำให้เสียน้ำในร่างกาย ดังนั้น ควรดื่มน้ำก่อนเข้านอน หรือก่อนเวลา 23.00 น.
01.00-03.00 น. ช่วงเวลานี้หลายๆ คนคงหลับกันไปแล้วถือว่าดีแล้วครับ เพราะว่าช่วงนี้เป็นช่วงเวลาของตับ เราควรนอนหลับพักผ่อน ใครที่นอนหลับได้ดีในช่วงเวลานี้ตับจะหลั่งสารมีราโทนินเพื่อฆ่าเชื้อโรค และทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย

03.00-05.00 น. ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะตื่นมาสูดอากาศที่บริสุทธิ์ให้เต็มปอด ผู้ที่ตื่นในช่วงเวลานี้เป็นประจำจะทำให้สุขภาพของปอดและผิวของเราดีขึ้น

เมื่อร่างกายของเราแข็งแรง หน้าตาเราก็จะสดใส จิตใจเราก็จะผ่องแผ้ว ผู้ชายก็จะหล่อ ผู้หญิงก็จะสวย อาจจะทำให้วันนั้นของคุณเป็นวันที่ดีอีกวันหนึ่งไปเลยก็ได้ บอกแล้วถ้าจะดีมันต้องดีจากข้างใน (ร่างกาย) ของเราก่อนนี่แหละดีที่สุด ไม่ต้องไปพึ่งยาปฏิชีวนะที่ให้ผลแบบครั้งคราว แต่หันมาใช้ "ยาปฏิชีวิตนะ" ที่ให้ผลแบบถาวรกันจะดีกว่า
(ล้อมกรอบ1)
งา น้ำผลไม้ น้ำสะอาด ช่วงล้างสารพิษในตับได้
(ล้อมกรอบ2)
การอั้นปัสสาวะบ่อยๆ ปัสสาวะจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เหงื่อออกมามีกลิ่นเหม็นเหมือนปัสสาวะ
ข้อมูล
อ.สุทธิวัสส์ คำภา นักธรรมชาติบำบัด


แผนการกินแบบสุขภาพดีใน 24 ชั่วโมง


หลายคนอาจคิดว่ายังมีเวลาอีกเหลือเฟือสำหรับการเริ่มต้นการกินเพื่อสุขภาพ แต่หากไม่อยากลงเอยด้วยการมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น และสัดส่วนที่ขยายขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมัวแต่เพลิดเพลินกับของอร่อยแต่แคลอรี่สูง คุณควรได้รู้ตั้งแต่วันนี้ว่า แผนการกินที่ดีต่อสุขภาพในหนึ่งวัน เพื่อรักษาหุ่นและบำรุงร่างกายไปด้วยในตัวนั้นเป็นอย่างไร มาเริ่มต้นการกินตั้งแต่เช้าจรดค่ำกันเลย

แผนการกินแบบสุขภาพดีใน 24 ชั่วโมง

07.30 น.
ควร : ดื่มน้ำหนึ่งแก้วเมื่อตื่นนอน เพื่อขับของเสียสะสมออกไป และเติมน้ำให้ร่างกายและผิวหลังจากหลับไปทั้งคืน
อย่า : อย่าเริ่มกินทันทีโดยที่ยังไม่รู้สึกตื่นเต็มที่ โดยในขณะที่คุณหลับ ร่างกายจะย่อยน้อยลง ระบบจึงยังไม่เข้าที่ อย่างน้อยควรรอสักครึ่งชั่วโมงหลังจากตื่นแล้ว
08.00 น.
ควร : กินอาหารเช้าซะ การวิจัยนั้นบ่งบอกว่าคนที่กินมื้อเช้าจะมีหุ่นเพรียวกว่า และขาดสารอาหารน้อยกว่า โดยเลือกอาหารที่มีอัตราการกระตุ้นระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น มูสลี่กับนมกึ่งพร่องมันเนย ใส่ลูกเกด แอปเปิล หรือขนมปังโฮลวีทกับอะโวคาโด แล้วตบท้ายด้วยน้ำส้มคั้น
อย่า : อย่าเริ่มต้นวันใหม่ด้วยกาแฟเข้มข้น เพราะฤทธิ์ของกาเฟอีนทำให้เกิดการหลั่งอะดรีนาลีนมากเกินไป จนส่งผลให้ขาดพลังงาน และเกิดภาวะอารมณ์ขุ่นมัว
11.00 น.
ควร : กินโยเกิร์ตสักถ้วยเพื่อเริ่มอุ่นเครื่องน้ำตาลในเลือดให้มีพลังไปจนถึงมื้อเที่ยง และการกินอาหารที่มีแคลเซียมแยกออกมาจากมื้ออาหารจะทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้น
อย่า : อย่ารีบกินแซนวิชตั้งแต่หัววัน โดยตั้งใจว่าจะงดมื้อเที่ยง เพราะเมื่อถึงช่วงบ่าย คุณจะรู้สึกหิวยิ่งกว่าเดิม ซึ่งแน่ล่ะว่าคุณอาจกินมากกว่าเดิมในท้ายที่สุด
13.00 น.
ควร : กินอาหารกลางวันที่อุดมด้วยโปรตีนเพื่อกระตุ้นความตื่นตัว และช่วงเวลานี้จะช่วยเติมเต็มความหิวได้ดีกว่า การกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไปในมื้อกลางวัน อาจทำให้คุณเกิดอาการเฉื่อยชา เลือกอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ เนื้อปลา และอย่าลืมกินผักเยอะ ๆ เช่น สลัดเสริมด้วย ส่วนของหวานควรเป็นถั่วหรือผลไม้
อย่า : อย่ากินมากเกินจำเป็น และหากคุณกินมื้อเที่ยงมาก ช่วงบ่ายนี้จึงเป็นช่วงเวลาดีที่สุดที่จะดื่มกาแฟเพื่อลดอาการง่วงซึม
16.00 น.
ควร : กินผลไม้อบแห้ง เช่น ลูกเกด เพื่อให้ได้แมกนีเซียม แร่ธาตุ เหล็ก และไฟเบอร์
อย่า : อย่าปล่อยใจไปกับของว่างแสนหวานยามบ่าย อย่างช็อกโกแลต และบิสกิต เพราะมันจะเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลในร่างกาย
18.30 น.
ควร : ดื่มชาอุ่น ๆ เพื่อผ่อนคลายตัวเองจากความเครียด ในชายังมีฟลาโวนอยด์ และแอนตี้ออกซิแดนต์ที่ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจด้วย
อย่า : อย่าเริ่มดื่มแอลกอฮอล์ในตอนนี้ ถ้าคุณอยากนอนหลับฝันดี
19.30 น.
ควร : กินของหวาน เช่น เชอร์เบท ถ้าคุณเฝ้าระวังน้ำหนัก มีผลการทดสอบว่าคนที่บริโภคกลูโคสก่อนมื้อเย็นนั้นจะกินอาหารน้อยและลดน้ำหนักได้ง่าย เมื่อกินของหวานแล้ว คุณอาจรู้สึกอยากกินแค่ซุปมะเขือเทศสักถ้วยก็รู้สึกว่าพอแล้ว
อย่า : อย่าจิบค็อกเทลก่อนกินอาหาร เพราะมันจะเป็นการเพิ่มแคลอรี่ให้ดินเนอร์มื้อนั้นทันที
20.00 น.
ควร : กินบร็อกโคลี่ หรือกะหล่ำ เพราะจะช่วยลดการเกิดมะเร็งในลำไส้ได้ หรือการจิบไวน์ 1-2 แก้ว ในช่วงนี้จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจด้วยนะ
อย่า : อย่าเป็นกังวลถ้ากินมื้อเย็นเช้า เพราะเข้าใจว่าจะเป็นการกระตุ้นไขมัน เพราะมีผลการวิจัยออกมาว่าคนที่กินอาหารเย็นในช่วงนี้ก็มีการอัตราเผาผลาญไม่แตกต่างนัก


เครื่องดื่มสลายหน้าท้อง


ศัตรูตัวฉกาจของผู้หญิงคงหนีไม่พ้นไขมันส่วนเกิน ที่ส่วนใหญ่จะเกิดบริเวณหน้าท้อง ทำให้สาวๆ 
หลายคนหมดความมั่นใจในการอวดหุ่นสวย Health News 
ฉบับนี้มีเครื่องดื่มสลายหน้าท้องมาเสิร์ฟให้คุณได้ชิมกัน
น้ำเปล่า หากคุณต้องการจะลดน้ำหนัก การดื่มน้ำมากๆ จะช่วยรักษาสมดุลของของเหลวในร่างกาย ช่วยลดอาการบวมน้ำที่เป็นสาเหตุให้ท้องอืดป่อง และยังช่วยให้คุณรู้สึกอิ่ม จึงทำให้กินน้อยลง แต่ถ้าคุณไม่ชอบดื่มน้ำเปล่า ลองเพิ่มรสชาติด้วยการใส่สมุนไพรสด มะนาว ผลไม้ ก็สามารถช่วยให้คุณดื่มน้ำได้มากขึ้น
สมูธตี้แตงโม เครื่องดื่มชนิดนี้จะช่วยให้ร่างกายคุณ ชุ่มชื้นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะสมูธตี้แตงโมที่มีแคลอรีต่ำเพียง 56 แคลอรีต่อแก้ว เนื่องจากแตงโมจะมีน้ำเป็นส่วนประกอบอยู่มาก มีไลโคปีนที่ช่วยต้านมะเร็ง รวมถึงกรดอะมิโนอาร์จินีน ซึ่งมีการศึกษาชี้ว่าสามารถช่วยสร้างมวลกล้ามเนื้อเรียว จึงช่วยให้หน้าท้องของคุณแฟบลงนั่นเอง
เฟรปเป้สับปะรด สับปะรด มีสารโบรมีเลน ซึ่งเป็นเอนไซม์ ที่ช่วยย่อยโปรตีน ทำให้การย่อยอาหารง่ายขึ้น ช่วยลดอาการท้องอืด นอกจากนี้การใส่น้ำมันเมล็ดแฟล็กซ์ ซึ่งมีไขมันโมเลกุลเดี่ยวไม่อิ่มตัวก็จะช่วยให้หน้าท้องแบนราบ
ชาเขียว นอกจากลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งและโรคหัวใจ ชาเขียวยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ ตัวหนึ่งชื่อว่า ‘คาเตชิน' ซึ่งช่วยลดไขมันบริเวณหน้าท้อง ถ้าคุณจิบชาเขียวก่อนออกกำลังจะช่วยเพิ่มอัตราเผาผลาญในระหว่างออกกำลังกายได้
ชามิ้นต์ใส่น้ำแข็ง รสเย็น ของมิ้นต์จะช่วยให้คุณรู้สึกสดชื่น ช่วยให้ระบบย่อยอาหารของเราย่อยสลายไขมัน แม้แต่อาหารไขมันสูงอย่างเบอร์เกอร์ หรือสเต๊กก็จะถูกย่อยอย่างรวดเร็ว และลดอาการท้องอืดได้อีกด้วย

สนับสนุนเนื้อหา นิตยสารเรียว




กินอะไรให้อกบึ้ม!


สาว ๆ หลายคนอาจจะบอกว่า อกหักเรื่องเล็ก แต่อกเล็กเรื่องใหญ่...ถ้าอยากอัพคัพไม่ใช่เรื่องยาก แค่เลือกอาหารการกิน...เทรนด์อกอึ๋มกำลังมา สาว ๆ คนไหนไม่อยากเจ็บตัวกับการตบ การนวด ผ่าตัดศัลยกรรม หรืออึดอัดกับชุดชั้นในฟองน้ำหนา ๆ มาให้อาหารช่วยให้หน้าอกใหญ่ขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติกันดีกว่า

อาหารเสริมอกอึ๋ม

ผักและผลไม้สด
ผักและผลไม้สด ๆ มีคุณค่าทางโภชนาการมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ ช่วยให้โลหิตไหลเวียนได้ดีขึ้น หน้าอกก็เลยอึ๋มขึ้น แถมถ้าเป็นพวกมะเขือเทศ สตรอว์เบอร์รี เชอร์รี่ ที่อุดมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนต์ก็จะช่วยให้ผิวนุ่มชุ่มชื่นด้วย เรียกว่าได้ประโยชน์ด้านความสวยความงามกันสองต่อเลยทีเดียว
ถั่วทุกชนิด
ไม่ว่าจะเป็นถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วลิสง หรืออัลมอนด์ ล้วนแต่เต็มไปด้วยโปรตีน วิตามินอี และบี ซึ่งจะช่วยให้หน้าอกคุณขยายขนาดขึ้นได้ แล้วยังมีกรดไลโนเลอิกที่ช่วยให้หน้าอกเต่งตึง และชะลอการหย่อนคล้อยของหน้าอกอีกด้วย
น้ำมะพร้าว
เอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนเพศหญิงที่ยิ่งมีมากหน้าอกก็ยิ่งใหญ่ และถ้ามีน้อยเกินร่างกายก็ยังสร้างฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนมายับยั้งการเจริญเติบโตของหน้าอกเสียอีก สาว ๆ ที่อยากอกใหญ่ต้องเพิ่มเอสโตรเจนเข้าไว้นะจ๊ะ และน้ำมะพร้าวถือเป็นแหล่งเอสโตรเจนชั้นยอดเลยทีเดียวล่ะ
ไข่
อาหารจานไข่ยังเป็นจานเด็ดตลอดกาล ก็ไข่น่ะเต็มไปด้วยโปรตีนที่จะเข้าไปซ่อมแซมเนื้อเยื่อของทรวงอกที่สลายไปตามกาลเวลาให้กลับมาแข็งแรง หน้าอกของสาว ๆ จะได้สวยได้ทรงยังไงล่ะ
ปีกไก่
ไก่ก็เป็นอีกหนึ่งแหล่งโปรตีนชั้นเยี่ยมที่ดีต่อร่างกายแล้วก็หน้าอกของคุณ โดยเฉพาะส่วนปีกยิ่งอุดมไปด้วยคอลลาเจนที่ว่ากันว่า หากรับประทานบ่อย ๆ จะทำให้หน้าอกใหญ่ขึ้นได้ แต่ก็ต้องระวังด้วยนะ เพราะเคยมีข้อสงสัยกันว่าที่หน้าอกบิ๊กไซส์เพราะปีกไก่นั้น มาจากสารเร่งโตที่ตกค้างอยู่ในปีกไก่หรือเปล่า...อันนี้ไม่ขอคอนเฟิร์มนะคะ เพราะเรื่องสารเร่งนี่ยังไม่เห็นมีใครออกมายืนยันจริงจังสักที





  •  
Lisa



6 สิ่งที่จะช่วยเสริมสร้างสุขภาพผิว


ผิวพรรณของคุณรู้สึกไม่สดใสอยู่หรือไม่ ...มาดูบรรดาอาหารและเครื่องดื่มที่จะมาช่วยให้ผิวพรรณของคุณสดชื่น

6 สิ่งช่วยเสริมสุขภาพผิว


ปลาแซลมอน
ปลาแซลม่อน ถือว่ามีคุณสมบัติหลายๆ อย่าง ซึ่งเท่าที่เคยได้ยินกันนั้น ถือเป็นแหล่งรวมของโอเมก้า 3 ได้มากที่สุดในโลก และถือเป็นอาหารสำหรับพวกที่ต้องการคุมน้ำหนัก อีกทั้งยังมีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง นอกจากนั้นยังมีคุณสมบัติในการเก็บความชุ่มชื้นอีกด้วย และจากผลการศึกษาแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ที่ทาน โอเมก้า 3 และ โอเมก้า 6 หลังจากนั้น 2 สัปดาห์พบว่า ร้อยละ 20 ของกลุ่มโอเมก้า จากการสัมผัสกับแสงอัลตราไวโอเลต แสดงอัตราการฟื้นตัวได้เร็วขึ้น ซึ่งการทานปลาแซลม่อน จะช่วยคุณจากผิวแห้งและการต่อสู้กับแสงแดดได้ด้วย
แครอท
แครอท ถือว่าเต็มไปด้วยเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินหลากหลายชนิด และยังช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง บำรุงสายตา และ ผิวพรรณ อีกทั้งช่วยลดระดับคอเรสตอรอล เพราะมีวิตามินเอที่สูง อีกทั้งในการวิจัยยังพบว่า สามารถช่วยป้องกันริ้วรอยก่อนวัยจากแสงแดด แต่ถ้ากินมากเกินไปก็ไม่ดีเพราะจะทำให้ตัวเปลี่ยนเป็นสีส้ม หรือเรียกว่าสภาพ (carotenosis)
อะโวคาโด
หนึ่งในผลการศึกษาที่เผยแพร่โดยวารสารโภชนาการ American College พบว่าผู้ที่มีการบริโภคที่น้ำมันมะกอกจะมีริ้วรอยน้อยกว่า คนที่มีบริโภคเนย เพราะเนยจะเต็มไปด้วยไขมันอิ่มตัวในขณะที่น้ำมันมะกอกอุดมไปด้วย ไขมันไม่อิ่มตัวชนิด (Monounsaturated) ซึ่งในอะโวคาโดมีไขมันจำเป็นมากกว่า 50% ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมควรกิน อะโวคาโด มากกว่าน้ำมันมะกอก อย่างไรก็ตามการรับประทานทั้งสองสิ่งถือว่าดี แต่การกินอะโวคาโด จะได้คุณค่าเพิ่มในเรื่องของวิตามินบีซึ่งช่วยให้ผิวของคุณสดใส
ถั่ว
พืชตระกูลถั่วไม่ว่าจะเป็นจำพวก ถั่วเหลือง หรือถั่วลิสง และถั่วฝักยาวจะช่วยปกป้องผิวหน้าของคุณ ด้วยการปรับหน้าให้เรียบแบบไร้ริ้วรวย นักวิจัยชาวออสเตรเลียให้ผู้สูงอายุมากกว่า 400 คนทั้งหญิงและชาย บริโภคถั่ว พบว่าการบริโภคของพืชตระกูลถั่วร่วมกับผัก และ ไขมันสุขภาพ ผลปรากฏว่ามันส่งผลให้ริ้วรอยลดลง 20% เมื่อเวลาผ่านไป เพราะสารในถั่วนั้นมีสารที่ต้านอนุมูลอิสระที่มีศักยภาพสูงนั่นเอง
องุ่น
นอกจากป้องกันจากการเกิดของหัวใจและหลอดเลือด, สารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่าโพลีฟีนที่พบในองุ่นยังสามารถช่วยรักษาผิวในวัยกลางคนไม่ให้หย่อนคล้อย นั่นเป็นเพราะโพลีฟีนปรับปรุงความยืดหยุ่นของผิวโดยการเสริมสร้างคอลลาเจน, โปรตีนหลักชั้นในสุดของผิว
น้ำ
น้ำถือเป็นสิ่งที่สร้างเสริมความแข็งแกร่งให้กับผิวของคุณให้มีชีวิตชีวา เพราะน้ำจะช่วยล็อคความชื้นในผิวของคุณ เพราะน้ำจะเข้าไปทำให้ทุกส่วนของร่างการมีชีวิตชีวา ดังนั้นหากคุณไม่ได้จิบตลอดทั้งวันแล้วคุณก็น่าจะมีการเผาผลาญอาหารช้าลงและดูไม่สดชื่น จากการศึกษาชี้ให้เห็นว่า ครึ่งลิตรของน้ำจะสร้างให้ในเส้นเลือดฝอยไหลเวียนของเลือดเพื่อไปยังชั้นนอกร่างกายของ และหากคุณทำแบบนี้ได้เป็นประจำ คุณจะดูสดใสอยู่เสมอ